ตอบโต้ข้อกล่าวหาต่ออัลกุรอาน โดยอ้างว่าอัลกุรอานนั้นสับสนในเรื่องประวัติศาสตร์ของพระนางมัรยัม

ตอบโต้ข้อกล่าวหาต่ออัลกุรอาน โดยอ้างว่าอัลกุรอานนั้นสับสนในเรื่องประวัติศาสตร์ของพระนางมัรยัม (แมรี มารดาของนบีอีซา -อะลัยฮิสลาม- )‎‏

โดยข้อกล่าวหาที่อ้างว่าอัลกุรอานสับสนในการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพระนางมัรยัมนั้น มีอยู่ 2 ที่ด้วยกัน

1.เขากล่าวว่าอัลกุรอานได้กล่าวว่ามัรยัมมีพี่หรือน้องชื่อ “ฮารูน” ซึ่งฮารูนนั้น แต่เดิมเป็นพี่น้องของนบีมูซา (โมเสส) และช่วงเวลาระหว่างพระนางมัรยัมกับนบีฮารูนและมูซานั้นห่างกันประมาณ 1500 ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่มัรยัมจะเป็นพี่น้องกับฮารูนและมูซา โดยอ้างจาก อายะที่ 28-29 ซูเราะมัรยัม อัลลอฮฺตรัสว่า

فَأَتَتْ بِهِ قَوْمَهَا تَحْمِلُهُ قَالُوا يَا مَرْيَمُ لَقَدْ جِئْتِ شَيْئًا فَرِيًّا * يَا أُخْتَ هَارُونَ مَا كَانَ أَبُوكِ امْرَأَ سَوْءٍ وَمَا كَانَتْ أُمُّكِ بَغِيًّا

“และนางได้พาเขามายังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามา พวกเขากล่าวว่า โอ้ มัรยัมเอ๋ย แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว โอ้น้องสาวของฮารูน พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์”‎‏‏‎

2. อัลกุรอานกล่าวว่า พระนางมัรยัมนั้น มีพ่อชื่อ “อิมรอน” ซึ่งค้านกับคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่าพ่อของมัรยัมชื่อ “โจอาคิม” ในโองการอัตตะห์รีม อายะฮ์ที่

وَمَرْيَمَ ابْنَتَ عِمْرَانَ الَّتِي أَحْصَنَتْ فَرْجَهَا فَنَفَخْنَا فِيهِ مِن رُّوحِنَا وَصَدَّقَتْ بِكَلِمَاتِ رَبِّهَا وَكُتُبِهِ وَكَانَتْ مِنَ الْقَانِتِينَ ‎

“และมัรยัมบุตรีของอิมรอน ผู้ซึ่งรักษาพรหมจารีของนาง แล้วเราได้เป่าวิญญาณของเราเข้าไปในนาง และนางได้ศรัทธาต่อบัญญัติต่างๆแห่งพระเจ้าของนาง และ (ได้ศรัทธาต่อ) คัมภีร์ต่างๆ ของพระองค์ และนางจึงอยู่ในหมู่ผู้นอบน้อมภักดีทั้งหลาย”‏

‎‏ผู้กล่าวหาได้กล่าวว่า คัมภีร์อัลกุรอาน เล่าเหตุการณ์มั่วและสับสนทางประวัติศาสตร์ โดยที่อัลกุรอานเล่าค้านกับไบเบิล


เกริ่นนำ


ก่อนจะเริ่มการตอบโต้ เราขอชี้แจงแนวทางการเขียน และเรียกบรรดาบุคคลที่เป็นประเด็นในเรื่องนี้ โดยเราจะใช้ชื่อที่ชาวมุสลิมเรียกเป็นหลัก และวงเล็บชื่อที่บุคคลนั้นถูกเรียก ณ กลุ่มชนอื่น ๆ เช่น มูซา (โมเสส)‎‏ ลำดับถัดมา เนื่องจากข้อคลุมเครือนี้ผู้โจมตีอัลกุอรอานใช้ข้อมูลจากไบเบิลเป็นหลัก ทางเราจึงจำเป็นต้องอธิบายให้ผู้อ่านทราบก่อนว่า ข้อมูลในไบเบิลที่ผู้โจมตีนำมาใช้นั้น กล่าวถึง เรื่อง “พระนางมัรยัม (แมรี) ” ไว้ว่าอย่างไร‎‏

ไบเบิลบอกว่า “พระนางมัรยัม (แมรี)” ที่เป็นแม่ของเยซูนั้น มีพ่อชื่อ “โจอาคิม” และไม่ได้ระบุว่ามัรยัม (แมรี) แม่ของเยซูมีพี่น้องใดๆ แต่ในไบเบิลก็ได้กล่าวถึงอีกครอบครัวหนึ่งที่ครอบครัวนั้น มีพ่อชื่ออัมราน (อิมรอน) มีลูก 3 คน ได้แก่ 1. มัรยัม (มิเรียม/แมรี) 2. ‎‏ฮารูน (อาโรน) 2. มูซา (โมเสส)‎

ซึ่งตามข้อมูลของไบเบิล “มัรยัม” ที่เป็นแม่ของเยซู กับ “มัรยัม” ที่มีพ่อชื่ออิมรอน (อัมราน) คือ คนละคนกัน ซึ่งจุดนี้เองที่แตกต่างกับอัลกุรอานเพราะอัลกุรอานอ้างว่า “มัรยัม” ที่เป็นแม่ของเยซูนั้น คือ สมาชิกของครอบครัวที่มีพ่อชื่ออิมรอน และจุดนี้ชี้ให้เห็นว่าอัลกรุอานมีความสับสน โดยการเอาประวัติของคน 2 คนมารวมเข้าด้วยกัน โดยสรุปแล้วอัลกุรอานสับสน 3 เรื่องด้วยกัน

1. อัลกุรอานบอกว่าพระนางมัรยัมมีพี่หรือน้องชื่อฮารูน (แต่ในไบเบิลไม่ได้ระบุไว้)

2. อัลกุรอานอ้างว่าพ่อพระนางมัรยัมชื่ออิมรอน (แต่ในไบเบิลบอกว่าพ่อชื่อ “โจอาคิม”)

3. บุคคลที่อัลกุรอานกล่าวมานั้น ไม่ใช่พระนางมัรยัมที่เป็นแม่ของเยซู แต่มันกลับไปตรงกับเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ถูกกล่าวไว้ในไบเบิล โดยสมาชิกและสถานะทางครอบครัวทั้งหมดตรงกับสิ่งที่อัลกุรอานบอก

ดังนั้นจึงเป็นข้อชี้วัดว่าอัลกุรอานสับสนที่เอาประวัติของคนธรรมดาที่ชื่อ “แมรี” ที่ถูกกล่าวในไบเบิล ไปเคลมว่าคนคนนั้น คือ “แมรีที่เป็นแม่ของเยซู” ทั้งๆ ที่เป็นคนละคน

(ตามคำอ้างของผู้ใส่ร้าย)


ตอบโต้


เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น และเป็นความอ่อนด้อยทางสติปัญญาเป็นอย่างมากในการยกข้อมูลมาโต้แย้งอัลกุรอานในครั้งนี้คือ “การที่คุณนำไบเบิลมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินอัลกุรอาน” เพราะในความจริงแล้ว การที่คุณบอกว่าอัลกุรอานผิด นั้นหมายถึงคุณมีข้อมูลที่ถูก (และนั้นคือไบเบิล) การกระทำเช่นนี้คือความไร้เดียสาในวิชาการเป็นอย่างมาก เพราะ

1. คุณหยิบไบเบิลมาตัดสินอัลกุรอานว่าผิดเพียงเพราะมันไม่ตรงกัน เช่นนั้นเราก็สามารถพูดได้เช่นกัน ว่าไบเบิลผิด เพราะกล่าวไม่ตรงกับอัลกุรอาน! นี่ไม่ใช่วิธีพิสูจน์สัจธรรมใดๆ เลย แต่ถ้าคุณกำลังจะอ้างว่า “ก็นี้ไง คือ วิธีการพิสูจน์ว่าอัลกุรอานนั้นจริงหรือเท็จ” เราก็จะขอตอบว่า “นี่ไม่ใช่วิธีพิสูจน์สัจธรรมที่แท้จริง!” เพราะ การที่อัลกุรอานกล่าวไม่ตรงกับไบเบิลมันไม่ได้หมายถึงอัลกุรอานผิด ไบเบิลถูก และมันก็ไม่ได้หมายถึงไบเบิลถูก อัลกุรอานผิด (ตามหลักตรรกะ)

สิ่งที่คุณควรพิสูจน์คือ มีความย้อนแย้งในตัวเองในเนื้อหาของอัลกุรอานหรือไม่ ที่กล่าวสวนทางกัน (กล่าวคือ ให้พิสูจน์ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในตัวมันเอง ไม่ใช่การนำบรรทัดฐานหนึ่งทั้ง ๆ ที่มาและความถูกต้องของมันนั้นก็ยังไม่ถูกรับรองมาตัดสิน) และแหล่งข้อมูลไหนที่มีความถูกต้องจริงๆ ต่างหาก

2. สำหรับมุสลิมนั้นสถานะของไบเบิล เราถือว่าไบเบิลในปัจจุบันคือคัมภีร์ที่ถูกบิดเบือนและเนื้อหาในคัมภีร์ปัจจุบันนั้น ที่มาที่ไปของมันก็ไม่ถูกยอมรับจากมุสลิม เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งที่เขียนในไบเบิลในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า 100% เพราะในไบเบิลฉบับปัจจุบันนั้น มีหลายเนื้อหาที่ขัดแย้งกัน และแหล่งที่มาของมันนั้นก็ไม่ชัดเจน รวมไปถึงการสังคายนาที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน

ดังนั้นจุดยืนสำหรับมุสลิมเราคือ อะไรที่ไบเบิลปัจจุบันกล่าวตรงกับอัลกุรอาน เราก็จะถือว่าสิ่งนั้นถูกแต่หากสิ่งใดไม่ตรงเราก็จะถือว่าไบเบิลผิดและอัลกุรอานถูก ดังนั้นมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระเป็นอย่างมากที่คุณจะนำข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่ไม่มีความถูกต้องในตัวมันเองมาตัดสินข้อมูลที่ถูกกล่าวไว้ในอีกที่หนึ่งเพียงเพราะมันกล่าวไม่เหมือนกัน

3. จากทั้งหมดที่กล่าวมา มันคงหนีไม่พ้นการที่คุณต้องพิสูจน์แหล่งข้อมูลของคุณว่ามันเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ 100% (และอะไรคือเกณฑ์หรือวิธีของคุณในการตัดสินว่าข้อมูลนั้นๆ เชื่อถือได้? และวิธีนั้นถูกต้องแค่ไหน?) แหล่งข้อมูลไหนที่สมควรถูกนิยามว่าเป็นสิ่งบริสุทธ์ที่มาจากพระเจ้าจริงๆ และแหล่งข้อมูลไหนที่ไม่มีการขัดแย้งในตัวเอง (เพราะมันเป็นหนึ่งในวิธีพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลนั้นได้ดี) ทั้งหมดทั้งมวลล้วนชื่อไปที่เรื่อง “การพิสูจน์คัมภีร์” อันเป็นคำแนะนำของเรา


ตอบโต้ข้อคลุมเครือที่ 1


เราจะขอตอบแบบสรุปก่อนว่า คำตอบของเรื่องนี้คือ “มัรยัมแม่ของอีซาไม่ได้เป็นพี่น้องของฮารูนที่เป็นพี่น้องของมูซา ส่วนคำว่า “ฮารูน” ที่ถูกกล่าวในอายะฮ์ที่ยกมาโจมตี ก็คือ คนที่เป็นพี่น้องของมัรยัมจริงๆ ที่ชื่อเหมือนกับฮารูนในยุคของนบีมูซา แค่นั้น

ลำดับแรกเราขอกล่าวว่า ประเด็นนี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคของท่านนบีมุฮัมมัด -ศ็อลลัลลอฮุอะลัยวะซัลลัม- แล้ว โดยมีฮะดีษจากท่านมุฆีเราะ บิน ชัวะอ์บะ ที่บันทึกโดยอิมามมุสลิมว่า

‎‏‎عن المغيرة بن شعبة قال : لَمَّا قَدِمْتُ نَجْرَانَ سَأَلُونِي، فَقالوا: إنَّكُمْ تَقْرَؤُونَ يا أُخْتَ هَارُونَ، وَمُوسَى قَبْلَ عِيسَى بكَذَا وَكَذَا، فَلَمَّا قَدِمْتُ علَى رَسولِ اللهِ صَلَّى اللَّهُ عليه وسلَّمَ سَأَلْتُهُ عن ذلكَ، فَقالَ: إنَّهُمْ كَانُوا يُسَمُّونَ بأَنْبِيَائِهِمْ وَالصَّالِحِينَ قَبْلَهُمْ.‎

จากท่านมุฆีเราะ บิน ชัวะอ์บะฮฺ กล่าวว่า คราที่ฉันได้ไปเมืองนัจรอน พวกเขา (ชาวคัมภีร์) ก็ถามฉัน โดยที่พวกเขากล่าวว่า “พวกคุณอ่านอัลกุรอานว่า โอ้น้องสาวของฮารูน แต่มูซามาก่อนอีซาด้วยกับจำนวนเวลาเท่านั้นเท่านี้” ดังนั้นเมื่อฉันได้กลับมาหาท่านเราะซูล -ศ็อลลัลลอฮุอะลัยวะซัลลัม- ฉันก็ได้ถามท่านถึงสิ่งนี้ ท่านจึงกล่าวว่า “พวกเขาตั้งชื่อ (บรรดาลูกหลาน) ของพวกเขา ด้วยกับชื่อบรรดานบีของพวกเขา และบรรดาคนดีก่อนหน้าพวกเขา”

‎‏จากฮะดีษบทนี้เราสามารถตอบได้ว่า “มัรยัมน้องสาวของฮารูน” ที่ถูกกล่าวในอัลกุรอาน (ซึ่งเป็นอายะฮ์ที่โดนเอามาตั้งประเด็นในที่นี้) คนที่ชื่อ “ฮารูน” คนนี้ คือคนละคนกับ “ฮารูนที่เป็นพี่น้องของนบีมูซา” และฮารูนที่ถูกกล่าวในอายะฮ์นี้ แค่เป็นคนมีชื่อเหมือนกับฮารูนที่เป็นพี่ชายของนบีมูซาเท่านั้น และก็ไม่แปลกที่จะมีชื่อเหมือนกัน เพราะท่านนบีได้อธิบายไว้แล้วว่า “การตั้งชื่อลูกหลานตามบรรพบุรุษนั้น เป็นธรรมเนียมของคนสมัยนั้น” (ยุคของมูซากับฮารูน เกิดขึ้นก่อนยุคมัรยัม ดังนั้นมัรยัมที่เป็นแม่ของเยซูและคนอื่นๆ ถือเป็นลูกหลานของท่านทั้งสอง)

ดังนั้น สรุปได้ว่า “มัรยัมที่เป็นแม่ของเยซู” นั้นมีพี่น้องชื่อ “ฮารูน” จริงๆ แต่ฮารูนคนนี้ เป็นคนละคนกับ “ฮารูนที่เป็นพี่น้องของมูซา” มีแค่ชื่อเท่านั้นที่เหมือนกัน (จุดนี้เองเราอยากเสริมว่า เพียงแค่คุณเจอชื่อของบุคคลที่เหมือนกัน ในประวัติศาสตร์ที่ยุคสมัยแตกต่างกัน มันไม่ใช่เครื่องหมายบ่งชี้ว่าข้อมูลนั้นๆ ผิดแต่อย่างใด เพราะมันมีกรณีมากมายที่สามารถให้คำตอบกับปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ อย่างเช่น เรื่องธรรมเนียมการตั้งชื่อของคนแต่ละยุค และมันเป็นเรื่องเบาปัญญาที่คุณจะหยิบข้อมูลผิวๆ แค่นี้ขึ้นมา และมาโมเมว่าอัลกุรอานนั้นขัดแย้งกัน)

‎‏แน่นอนว่า ผู้กล่าวหา อาจจะกล่าวว่า มุฮัมมัดหาข้ออ้าง ฟังก็รู้เลยว่า พอโดนเศาะฮาบะฮ์ถาม ก็หาคำตอบเพื่อให้ตัวเองรอด ‎‏เราขอตอบว่า ถ้าคุณกล่าวว่า คำพูดของมุฮัมมัดไม่ได้มีน้ำหนักเลย เราก็ขอถามกลับว่าแล้วคำพูดของคุณที่ว่า นบีมุฮัมมัดหาข้ออ้าง มีน้ำหนักตรงไหน?‎‏

และคำตอบที่เราตอบไปข้างต้นนั้น คุณอาจอ้างได้ว่านบีตอบเพื่อเอาตัวรอด แต่ความจริงแล้ว หลักฐานที่ยืนยันว่าอัลกุรอานไม่ได้สับสนในเรื่องดังกล่าว ไม่ได้มีแค่ฮะดีษของท่านนบีเท่านั้น แต่อีกสิ่งที่ยืนยันได้ คือ “การที่อัลกุรอานนั้น ไม่มีมีการกล่าวถึงพระนางมัรยัมในขณะที่เล่าประวัติฯของนบีมูซาและฮารูน และอัลกุรอานก็ไม่ได้มีการกล่าวถึง “มูซา, ฮารูน” ในขณะที่เล่าถึงเหตุการณ์ของ “พระนางมัรยัม”เช่นกัน

เพราะถ้าอัลกุรอานสับสนจริงๆ สถานะของมูซา (โมเสส), ฮารูน (อาโรน), มัรยัม (แมรี) ทั้ง 3 คนนี้จะเป็น พี่น้องกัน (เพราะมูซาคือพี่น้องของฮารูน และถ้าอัลกุรอานเคลมว่ามัรยัมเป็นพี่น้องของฮารูนแล้วนั้น มัรยัมก็ต้องเป็นพี่น้องกับมูซาด้วย)

ก่อนอื่นผมจะเกริ่นเรื่องราวที่อัลกุรอานเล่าถึงพระนางมัรยัม (แม่ของเยซู) และมูซา, ฮารูน

ในส่วนของมัรยัม

‎‏1. มัรยัมมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับนบีซาการียา ซึ่งนบีซาการียาเป็นผู้เลี้ยงดูมัรยัมตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่ของนางเสีย และนบีซาการียาก็ถูกกล่าวในอัลกุรอานด้วย

‎‏2.มัรยัม เป็นหญิงที่เคร่งครัดและทำอิบาดะฮ์อยู่ในสถานที่ส่วนตัว โดยแทบไม่ได้ออกไป‎‏

3.มัรยัมถูกกล่าวหาว่าทำซินา (ผิดประเวณี) เนื่องจากนางตั้งครรภ์ และโดนตำหนิประนามอย่างหนัก แต่อันที่จริงแล้วอัลลอฮฺประสงค์ให้นางตั้งครรภ์โดยไม่มีพ่อ‎‏

ในส่วนของฮารูนที่เป็นพี่ชายนบีมูซา

‎‏1. ฮารูนก็คือหนึ่งในชาวยิวในขณะนั้นที่อยู่ที่อียิปต์ที่ถูกฟิรอูนข่มเหง ซึ่งฮารูนก็อยู่กับมูซาตลอด

2. กลุ่มชาวยิวอพยพหนีไปที่ซีนาย

3. ชาวยิวถูกอัลลอฮฺลงโทษและอยู่ท่ามกลางทะเลทราย 40 ปี

ถ้าอัลกุรอานสับสนจริงๆ ถ้า 3 คนนี้เป็นพี่น้องกัน (ตามที่อัลกุรอานสับสนจากคำกล่าวหาของคุณ) ทำไมเมื่ออัลกุรอานเล่าเรื่องเกี่ยวกับมัรยัม กลับไม่มีกล่าวถึงพี่ชายคือมูซาและฮารูนไปด้วย และทำไมตอนที่อัลกุรอานเล่าเรื่องของมูซา, ฮารูน ทำไมถึงไม่ผูกเรื่องของมัรยัมเข้าด้วยกัน หรือทำไมไม่มีการระบุเรื่องนี้ตรงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องสำคัญ?‎‏

ทำไมอัลกุรอานถึงเล่าว่ามัรยัมอยู่ในสถานที่ส่วนตัวในการทำอิบาดะฮ์อยู่อย่างสงบและไม่มีใครมารบกวน แต่กลับเล่าถึงกลุ่มชนของมูซาและฮารูนว่า ถูกเนรเทศไม่มีที่อยู่เป็นระยะเวลา 40 ปี?‎‏

ทำไมอัลกุรอานเล่าถึงกลุ่มของมูซาและฮารูนว่า ถูกฟิรอูน (ผู้นำอียิปต์ในยุคนั้น) กดขี่ข่มเหง แต่มัรยัมกลับอยู่ในสถานที่ทำอิบาดะฮ์อย่างสงบ?‎‏

ทำไมอัลกุรอานเล่าถึงมัรยัมตอนที่นางถูกกล่าวหาว่าทำซินา แต่ไม่มีพี่ชายสองคนมาช่วยเหลือ?‎‏

ทำไมอัลกุรอานเล่าถึงมูซากับฮารูน แต่ไม่กล่าวถึงซาการียะไปด้วย ทั้งๆ ที่ซาการียาก็เป็นญาติของมัรยัม?‎‏

ทำไมเมื่ออัลกุรอานกล่าวถึงมัรยัม หรืออีซา ทำไมอัลกุรอานไม่กล่าวด้วยว่า มูซาและฮารูนเป็นน้าชายของอีซา/เยซู? ‎‏

ซึ่งการที่อัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงมัรยัมในเรื่องของมูซา, ฮารูน หรือกล่าวฮารูน, มูซา ในเรื่องของมัรยัม มันคือสิ่งที่ชี้ให้เห็นแล้วว่าอัลกุรอานไม่ได้สับสนใดๆ ถ้าผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่เราเขียนข้างต้น ผู้อ่านก็จะรู้ได้โดยทันทีว่า อายะอัลกุรอานที่ว่า “โอ้น้องสาวของฮารูน” (อายะนี้หมายถึงมัรยัม) นั้น อัลกุรอานไม่ได้หมายถึง “ฮารูน” ที่เป็นพี่ชายของนบีมูซา เพราะมิเช่นนั้นอัลกุรอานก็จะเล่าเรื่องปนกัน ระหว่างเรื่องของมัรยัมและเรื่องของมูซาตามสมมุติฐานที่เราตั้งไปแล้ว

และในอีกมุมหนึ่งของการโต้แย้ง หากเรามาดูตามคำภาษาอาหรับที่อัลกุรอานใช้ในการพูดถึงเรื่องนี้ ‎

ในอัลกุรอานที่ใช้คำว่า ‎يا أخت هارون ‎‏เราจะใช้คำแปลว่า “โอ้น้องสาวของฮารูน” ‎‏คำว่า “น้องสาว” คือคำว่า أخت‎‏ ซึ่งจะแปลว่าพี่สาวหรือน้องสาวก็ได้‎‏ อันที่จริงแล้วคำว่า พี่น้องผู้ชายหรือพี่น้องผู้หญิงในภาษาอาหรับ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงพี่น้องท้องเดียวกันอย่างเดียว แต่สามารถอธิบายอีกได้ว่าอาจจะหมายถึงไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ อาจจะอยู่คนละยุคก็ได้ นี่คือเรื่องของสำนวนที่คนใช้พูดในแต่ละยุคสมัย

‎‏การใช้ศัพท์ของอัลกุรอานกันว่าถ้าอัลกุรอานใช้คำว่า “พี่น้อง” นั้น‎‏มันจะต้องหมายถึง พี่สาวน้องสาวแท้ๆ เลยหรือไม่

‎‏อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

‎كُلَّمَا دَخَلَتْ أُمَّةٌ لَّعَنَتْ أُخْتَهَا ۖ‎‏

“ทุกครั้งที่มีกลุ่มชนหนึ่งเข้าไป (ในนรก) กลุ่นชนนั้นก็จะสาปแช่งพี่น้องของพวกเขา” ‎‏

จากอายะนี้ เราจะเห็นว่า อัลกุรอานเรียก 2 กลุ่มชนว่า พี่น้องกัน ทั้งๆ ที่อยู่คนละยุคคนละสมัย โดยใช้คำว่า أخت ‎‏ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ใช้เรียกมัรยัมว่า “น้องสาวของฮารูน” ‎

‏ดังนั้น คำว่า ‎يا أخت هارون ‎‏“โอ้น้องสาวของฮารูน” ตรงนี้ก็สามารถตีความได้ว่าไม่ใช่ “ฮารูน” ที่ถูกกล่าวถึงไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่อาจจะเป็นบรรพชนคนดีคนหนึ่ง ที่คนในชุมชนเดียวกับมัรยัม ที่ได้รับการยอมรับนับถือ และนี่คืออีกทัศนะหนึ่งของบรรดานักวิชาการมุสลิม เพราะท่านนบีบอกว่า พวกชาวคัมภีร์ (ยิวและคริสต์) จะตั้งชื่อลูกหลานของพวกเขาตามชื่อบรรดานบีของพวกเขา

สรุป คำตอบของข้อคลุมเครือนี้ คือ

1.“ฮารูน” ในอายะฮ์ที่ถูกยกมาอ้างนั้น คือ พี่น้องของมัรยัมจริงๆ แต่เป็นคนละคนกับฮารูนที่เป็นพี่น้องมูซา

2.“ฮารูน” ในอายะฮ์นี้ อาจไม่ใช่พี่น้องของมัรยัมจริงๆ แต่เป็นคนดีที่ได้รับการนับถือจากสังคมยุคนั้น ส่วนประเด็นที่ใช้คำว่า “มัรยัมเป็นพี่น้องของฮารูน” คือ หนึ่งในสำนวนที่คนยุคนั้นใช้กัน‎‏


ตอบโต้ข้อคลุมเครือที่ 2 ที่ว่า

“มัรยัมลูกสาวของอิมรอน” ซึ่งขัดกับไบเบิลที่บอกว่า มีพ่อชื่อ โจอาคิม ‎‏


ประการแรก อันที่จริงแล้ว ในไบเบิลเองก็มีการเห็นต่างกันว่า พ่อจริงๆ ของมัรยัม ชื่อว่าอะไร

ประการที่สอง อันที่จริงแล้วต้นฉบับจริงๆ ของไบเบิลที่เป็นภาษาฮิบรู เป็นที่รู้กันทางประวัติศาสตร์ว่ามันหายไปแล้ว ดังนั้นต้นฉบับแท้ๆ จึงไม่มีอยู่

ประการที่สาม ไบเบิลในปัจจุบันนั้นถูกแปลมาจากภาษากรีก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แปลไบเบิลเป็นภาษากรีก และเราก็ไม่แน่ใจว่า เขาแปลได้ถูกทุกตัวไหม หรือมีการแปลคลาดเคลื่อนหรือไม่? เพราะการแปลจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่งมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้สูงและถ้าคุณรับรอง อะไรคือวิธีพิสูจน์?

ประการที่สี่ ไบเบิลมีต้นฉบับทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 2000 ฉบับ ซึ่งฉบับที่เราอ่านกันอยู่ ก็เป็นฉบับที่โป๊ปเลือก และหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันคือต้นฉบับที่ถูกต้อง โป๊ปอ้างว่าเลือกมาจากการดลใจของพระเจ้า

ประการที่ห้า ไบเบิลฉบับภาษาอังกฤษ ก็ถูกแปลมาหลายชั้น กล่าวคือ มีการแปลจากภาษาฮิบรูมาเป็นภาษากรีก และจากภาษากรีกมาเป็นภาษาละติน และแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งมีโอกาสคลาดเคลื่อนสูงมาก

ประการที่ 6 ในไบเบิลก็มีการขัดแย้งกันเองอย่างมากมาย (ซึ่งเราจะไม่กล่าว ณ ที่นี้)

ทั้งหมดทั้งมวลที่เรากล่าวมา ถูกอธิบายไว้แล้วในข้อชี้แจงที่ 2 ในส่วนแรกของการเริ่มโต้ ดังนั้นจากข้อมูลที่เราได้ให้ไปแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่อัลกุรอานจะถูกตัดสินว่าผิดเพียงเพราะกล่าวไม่เหมือนกับไบเบิล

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า ในไบเบิล มีอะไรมากมายที่เราสมควรจะต้องสงสัยถึงความถูกต้องของไบเบิล คำถามของเราคือ เราจะนำสิ่งที่ไม่มีความชัดเจนในตัวมันเอง มาเป็นมาตราฐานความถูกต้องหรือ? และนำสิ่งนี้มาตัดสินว่าอัลกุรอานผิดใช่ไหม? แน่นอนว่าผู้สติปัญญาจะไม่ยอมรับสิ่งนี้แน่นอน

อีกประการในประเด็นนี้ มีนักวิชาการบางท่านก็ได้ให้ทัศนะไว้ว่า “มันเป็นไปได้ที่คนๆ หนึ่งจะถูกเรียกด้วยชื่อหนึ่งในภาษาหนึ่งและจะถูกเรียกด้วยอีกชื่อในอีกภาษา” ดังนั้น หากพ่อมัรยัมแม่ของเยซูจะถูกเรียกว่า “อิมรอน” ในภาษาอาหรับและจะถูกเรียกว่า “โจอาคิม” ในภาษาฮิบรู ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้วคุณจะพิสูจน์อย่างไรว่ากรณีนี้ มันใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้?

จากข้อตอบโต้ 2 ข้อที่ผ่านมา หากท่านผู้อ่านเข้าใจมันจริงๆ แล้ว มันจะเป็นการปฏิเสธข้อคลุมเครือที่ 3 ที่ผู้ใส่ร้ายยกมาโดยอัตโนมัติ

เราตั้งประเด็นต่อว่า เป็นไปได้ไหม ที่ 2 ครอบครัวจะมีชื่อพ่อและลูกเหมือนกัน? ในไบเบิลจะมีบทหนึ่งที่เล่าถึงสกุลของชาวยิว หลังจากที่ชาวยิวได้อพยพเข้าสู่เยรูซาเล็มแล้ว กล่าวคือ มีการทำทะเบียนราษฎร์ ซึ่งปรากฎว่า ในทะเบียนราษฎร์นั้นก็มีหลายๆ ครอบครัวที่มีชื่อพ่อ และลูก เหมือนกับชื่ออีกครอบครัวหนึ่ง

และอันที่จริงแล้ว ชาวอาหรับ ก็มีการตั้งชื่อซ้ำเช่นกันในวัฒนธรรมของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น อิมามมะฮ์ดี ในความเชื่อของมุสลิม ท่านชื่อมุฮัมมัด และพ่อของท่านชื่ออับดุลลอฮ์ ซึ่งหมายความว่า อิมามมะฮ์ดี ชื่อเหมือนกับนบีมุฮัมมัด และมีพ่อชื่อเดียวกันด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร ที่มัรยัม และมูซา ที่อยู่คนละครอบครัวกัน จะมีพ่อและพี่ชายชื่อเดียวกัน และต่อให้เราไม่ยกวัฒนธรรมของชาวยิวและชาวอาหรับมาสนับสนุน เราก็รู้กันโดยสามัญสำนึกอยู่แล้วว่า ชื่อพ่อและชื่อลูกของทั้ง 2 ครอบครัวก็มีโอกาสซ้ำกันได้ และการกล่าวหาที่ว่า มัรยัม และมูซา จะมีชื่อพ่อและพี่ชายซ้ำกันได้อย่างไร? ก็เป็นการกล่าวหาที่พิสูจน์อะไรไม่ได้เลยว่ามันผิดและนี่ก็เป็นอีกข้อสมมุติฐานของเราที่ให้ผู้อ่านคิด