หนึ่งในข้อโต้แย้งของ มุฮัมมัด ฮิญาบ (Mohammed Hijab) ต่อแนวคิดเสรีนิยม คือการถามกลับไปที่ราก หรือฐานคิดที่มาของ เสรีนิยมเอง ว่า กรอบ/ความเชื่อ ของพวกเขาคืออะไรกันแน่?
เป็นที่รู้กันว่า แม้แต่ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปรัชญาเสรีนิยมเองก็ยังเป็นคริสเตียนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว (Unitarian ตรงข้ามกับ Trinity) ด้วยซ้ำไป
ทฤษฎี All men are created equal ที่ล็อก เสนอคือ “มนุษย์ทั้งผองถูกสร้าง มาอย่างเท่าเทียม” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เรื่องสิทธิเสรีภาพ ที่มีเขียนในคำประกาศอิสรภาพอเมริกา และรัฐรรมนูญอังกฤษ (ภายหลังถูกผลิตซ้ำ และกลายเป็น norm ในแบบ Western value ถูกขับเน้นให้เป็นสากลด้วย ลัทธิ/สงครามล่าอาณานิคม) แต่สิ่งที่ผู้คนมองข้ามข้อเขียน จอห์น ล็อก ไปคือล็อก เชื่อว่า
เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้น ถูกประทานมาจากพระเจ้า
พูดใหม่ก็คือ ฐานของล็อก คือ
- เชื่อในเทววิทยา (theological belief)
- เชื่อในสุขนิยม (hedonism) หรือสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรมี ควรได้มา สองอย่างนี้กลายมาเป็นฐาน
สิ่งที่ฮิญาบ ชวนคิดคือ พวกลิเบอรัล (liberalist) กลับเป็น “อิสระ” จากฐาน (baseless) ที่ว่าเสรีภาพ และเสมอภาคนั้นมาจากพระเจ้า แต่เลือกรับเอาแค่ “สุขนิยม” ในความหมาย “เลือกเอาสิ่งที่ปราถนา และไม่เลือกในสิ่งที่ตนรังเกียจ” เอาเอง โดยไม่มีกรอบคิดแบบความดี/ชั่ว (ซึ่งอาศัยเหตุผลแบบ เทววิทยา ที่ว่ามีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ*) นี้จึงเป็น argument ที่สำคัญ
หากเชื่อไปตามนั้นว่าฐานของเสรีนิยม ทึกทักว่ามนุษย์เสมอภาคกัน และมีเสรีภาพ แต่ฮิญาบถามกลับว่า
แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า มนุษย์เสมอภาค และมีเสรีภาพ จริง? (โดยไม่อิงข้อ 1) ในแบบล็อก
นี้ก็เท่ากับว่า ลิเบอรัลในยุคหลังล็อก เชื่อในอารมณ์ หรือสร้างสุขนิยม ขึ้นมาเองโดยไร้รากฐานตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว
จึงเกิดวาทกรรมที่ มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอแนวคิดแบบ Utilitarianism หรือ ประโยชน์นิยม ที่ว่า “คนเรามีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ ตราบที่ไม่กระทบคนอื่น”
เช่นนี้ ฮิญาบก็เสนอกลับว่า เช่นนี้แล้ว (หากลิเบอรัลไร้ฐานพิสูจน์ แต่ยึดเอาความพอใจเป็นฐาน) ก็ไม่ต่างกันกับบรรพบุรุษพวกเขาในอดีต ที่ตั้งเอาเทพเจ้ากรีก หลากอารมณ์ขึ้นมาเป็นเจ้า โดยไม่พิสูจน์ว่าเทพเจ้า (อารมณ์) พวกนี้มาจากไหน?
เช่นเดียวกับที่ลูกหลานของพวกนี้ คือเสรีนิยมในปัจจุบันก็เชื่อใน เสรีภาพ โดยไม่มีฐานว่ามาจากไหนเว้นแต่อารมณ์เป็นที่มาของ ความพึงพอใจ/ไม่พึงพอใจ เช่นเดียวกัน (วิธีคิดแบบนี้ สะท้อนออกมาอย่างกระจ่าง ในงานเขียนของ เบนธแฮม (Jeremy Bentham) ที่ว่า “เรามีพระเจ้าสององค์ องค์ที่หนึ่งคือพระเจ้าแห่งความพอใจ และองค์ที่สองคือพระเจ้าแห่งความทุกข์”)
กล่าวถึงอิสลาม ในเรื่อง freedom of speech นั้นมีอยู่ตราบที่มันไม่คัดค้านกับอิสลามเอง (ฮิญาบ claim ว่า อิสลามไม่บังคับให้คนมาเชื่อ) เขาเชื่อว่าอิสลามเสนอข้อนี้เหมือนกัน แต่เป็นการ “พูด” (question) ไปเพื่อค้นหา คำตอบ/ความจริง ว่ามีพระเจ้า — เช่นนี้การตั้งคำถาม หรือเสรีภาพในการถามถึงการมีอยู่ของพระเจ้าจึงยอมรับได้ (as it helps someone’s inquiry to “Truth”)
คุณมีสิทธิที่จะถามอะไรก็ได้ หากบริสุทธิ์ใจที่จะหาสัจธรรม (Islam) ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง กับการใช้เสรีภาพที่ว่า ไปเพื่อ “พูด” ดูถูกอิสลาม หรือให้ร้ายกัน ฯลฯ เขาไม่เชื่อในเสรีภาพเช่นนั้น (ทำนองเดียวกับที่กฎหมาย ในรัฐฆราวาสก็มีคุ้มครองเรื่องหมิ่นประมาท และควบคุมการพูด) ไม่ว่า เขาจะด่าแม่ใครก็ได้ หรือยิ่งกว่านั้น คือด่าทอพระเจ้า-ศาสดา ผู้อื่น
ฉะนั้นหากมีพวกลิเบอรัลมาถามว่า “ทำไมมุสลิมไม่เชื่อว่าการวาดภาพล้อเลียนนบียฺของเรา เป็นเสรีภาพ ก็ให้ตอกกลับไปว่า พิสูจน์มาให้ได้ก่อนสิว่าทำไม เสรีภาพในการวิจารณ์ (แบบลิบอรัลนิยม) ถึงกลายเป็นความจริงแท้ (Truth) และมีฐานอยู่กับแนวคิดใด?
ความจริงก็คือ พวกเขาไร้ฐาน และวางความพอใจอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์นิยม แต่มุสลิมเรามั่นคงอยู่แล้ว บนฐานที่ว่าเสรีภาพมาจากอัลลอฮฺ/พระเจ้าองค์เดียว
أَفَرَأَيْتَ مَنِ اتَّخَذَ إِلَهَهُ هَوَاهُ
“เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ต่ำของเขาเป็นพระเจ้าของเขาบ้างไหม?” (อัลญาซียะฮ์ 23)
อ้างอิง: จาก Islam VS Liberalism | Mohammed Hijab
ref: https://www.youtube.com/watch?v=qx5cukPrL